วันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

TEC Lingo Mouseเมาส์ที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก

เจ้าเมาส์ตัวที่ว่านี้นับได้ว่าเป็นเมาส์ที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก มีสัดส่วน 27.5x60x19 มิลลิเมตร รายละเอียดโดยคร่าวของตัวเมาส์นี้จะมี DPI เพียงแค่ 800DPI เป็นระบบไร้สาย 2.4Ghz รับสัญญาณได้ไกลสุดที่ระยะ 32.8 feet หรือประมาณ 10 เมตร ซึ่งแบตเตอรี่สามารถใช้ได้นานถึง 15 ชมและจะมีระบบปิดตัวเองอัตโนมัติ 5 นาทีหากไม่ได้ใช้งานใดๆ ต่อไปคงจะต้องได้ยินคนพูดว่า โอ๋!! ฉันเอาเมาส์ไปไว้ที่ไหนเนี่ย ถ้าคุณอยู่แถวนั้นก็ช่วยตอบเขาไปทีว่า แล้วที่ใช้พูดอยู่นั้นไม่ใช่หรอ

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เยาวชนของชาติใครกันรับผิดชอบ

 เรยา ตัวอย่าง หรือ เอาอย่าง


จากประเด็นร้อนในตอนนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่อง เรยา  ในละคร ดอกส้มสีทอง ซึ่งในละครเรื่องนี้ มีการแสดงที่เน้นสื่อในตัวของเรยาเป็นตัวเด่นของเรื่อง มีหลายฉากที่ทำให้ผู้ปกครองทางบ้าน และหลายๆคนออกความเห็นว่า ไม่เหมาะสมให้แสดงอย่างนั้น เช่น ฉากที่เรยาตะหวาดแม่ของตัวเองอย่างรุนแรง ฉากที่เรยากอดจูบกับคุณใหญ่ (ตัวเอกฝ่ายชายของเรื่อง) ฉากที่เรยาหลอกใช้แม่ตัวเองให้ออกจากบ้าน แบบว่าลูกหลอกใช้แม่ดูไม่ค่อยคุ้นเคยในสายตาคนไทยเท่าไร หลายฝ่ายออกมาตอบโต้กับเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งมี 2 ฝ่ายด้วยกัน คือ ฝ่ายสนับสนุน และฝ่ายคัดค้าน ในหลายรายการมีการนำเสนอโดยการเชิญ ผู้มีศักยภาพทางด้านความคิดมาไขข้อข้องใจ และหาทางออก ซึ่งผู้ที่ถูกเชิญมาก็ประกอบด้วย 2 ฝ่าย มาดูความเห็นของผู้มีศักยภาพทางด้านความคิดของแต่ละฝ่ายคิดกัน
ฝ่ายละคร
1. สองทุ่มกว่าแล้ว เด็กส่วนมากเข้านอนกันหมดแล้ว ผู้ปกครองควรให้เด็กนอนได้แล้ว (คำว่าเด็กของผู้ที่ออกมาพูมักพูดว่า เด็กต่ำกว่า 15 แต่ผู้เขียนคนหนึ่งพูดได้เลยว่า 18 ปี บางคนก็ยังไม่พ้นของคำว่าเด็ก เพราะวุฒิภาวะของคนแต่ละคนไม่เท่ากัน)
2. ผู้ปกครองดูไปก็ควรสอนเด็กไป ว่าอย่างนี้มันไม่ดีนะ อย่าเอาเป็นตัวอย่าง (ปัจจุบันหลายบ้านที่ดูทีวีคนละเวลา หลายบ้านที่มีทีวีในห้องลูก ซึ่งสื่อเองก็เป็นคนเสนอว่า ไม่ควรให้มีทีวีในห้องลูก ก็ในเมื่อสื่อรู้อย่างนี้ ทำไมไม่ช่วยกันป้องกัน กับเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดขึ้น)
3. การแสดงที่สื่อ ได้มีความตั้งใจให้คนดูดูว่า เรยา เป็นคนเลว (แต่มีหลายคน ไม่ใช่เด็กนะ ที่คิดว่าเรยา มีมุมดี น่าสงสาร ฯลฯ ไม่เชื่อลองค้นหาจากเน็ตดูได้ก่อนหน้าที่จะมีข่าวแบนละครเรื่องนี้ มีคนดูบางคนมาโพสต์ถามว่าเรยาน่าสงสารไหม อะไรประมาณนี้ ไม่รู้ว่าที่ละครสื่อสื่อให้เรยาเลว หรือ เป็นคนไม่ค่อยดีกันแน่)
4.ละครก็มาจากเรื่องจริงทั้งนั้น ที่ละครนำเสนอก็มีอยู่ทั่วๆไปในสังคมไทย (อยากถามว่า เรื่องจริงบางอย่างถ้ามันมีผลกระทบ เราควรที่จะนำเสนอไหม ยกตัวอย่างเช่น ตอ-แหล เมื่อก่อนตอนเด็กจำได้ว่าดูละคร ไม่เคยเจอคำนี้ แต่ปัจจุบันมากเหลือเกิน มันทำให้เราพูดคำคำนี้ได้ง่ายขึ้น)
5. ดูละครให้ย้อนดูตัว (หลายๆ คนคงเคยได้ยิน เหมือนกันกับผู้ปกครองเลี้ยงลูกบอกห้ามใช้คำว่า กู แต่พูดกับคนในบ้านว่า กู ลูกมันจะใช้คำว่าอะไร บางคนบอกแล้วมันเกี่ยวไรกับดูละครย้อนดูตัว คือ ใครๆ ก็บอกว่า สื่อ มีความสำคัญกับสังคมปัจจุบันมีอิทธิพลกับบุคคลทุกเพศทุกวัย แต่พอเกิดเรื่องนี้กับบอกว่า ผู้ปกครองต้องสอนเด็ก ผู้ปกครองยังโดนอิทธิพลสื่อเล่นงานเลยจะเอาอะไรไปสอนเด็กเล่า)


ฝ่ายต่อต้านละคร
1. ละครทำออกมา ทำให้เด็กที่ดูเอาเป็นเยี่ยงอย่างแรงเกิน(สื่อเขาจะสื่อออกมาอย่างไรนั้น เราเป็นผู้ปกครองเราต้องหาทางแก้ไข เราต้องรู้ทันสื่อ และรู้ทันความคิดลูกของเรา รู้ว่าลูกเราดูฉากนี้แล้วเขารู้สึกอย่างไร เขาคิดอย่างไร เราก็ต้องพยายามสอนสิ่งที่มันมีประโยชน์ พ่อแม่บางคนเลี้ยงลูกไม่เคยสอน พอลูกทำไม่ดีก็โทษแต่คนอื่น โทษสื่อ โทษเพื่อน โทษครูอาจารย์  )

ผู้เขียน ไม่ได้เขียนเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ผู้เขียนกำลังจะใช้สื่อทางอินเตอร์เน็ท สื่อให้หลายๆ คนทราบว่า ตอนนี้สังคมของเราทำอะไรกันอยู่  ต่างฝ่ายต่างเกี่ยงกันรับผิดชอบต่อสังคม ต่อเยาวชน ซึ่งมันเป็นหน้าที่ของทั้งสองฝ่าย เราควรร่วมมือกันป้องกันและแก้ปัญหาให้เยาวชนดู ไม่ใช่มานั่งโต้ตอบกันว่าอันนี้ดี อันนี้ไม่ดี ขนาดผู้ใหญ่ยังไม่รู้เลยว่าอันไหนดี แล้วเด็กมันจะรู้ได้อย่างไรกันเล่า พอทีเถอะผู้ใหญ่ที่ใช้ความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ ฉันคิดว่าเหมาะสม คือเหมาะสม  ฉันคิดว่าไม่เหมาะสมคือไม่เหมาะสม แล้วเด็กล่ะ เขาจะเลือกเชื่อใคร ในเมื่อก็เป็นผู้ใหญ่มีวุฒิภาวะกันทั้งสองฝ่าย ทำไมไม่ร่วมมือกันแก้ปัญหา มาโต้แย้งกันผ่านรายการโน้นรายการนี้กันทำไม แต่ก็น่าแปลกที่มีสองฝ่ายที่ออกมาพูดแต่ทำไมไม่มีฝ่ายที่สาม คือ เรามาร่วมแก้ปัญหา  มีอย่างหนึ่งที่ผู้เขียนอยากบอกว่า หนังและอินเตอร์เน็ท มีอะไรต่อมิอะไรที่สื่อไปในทางเสี่ยงต่อเยาวชนเยอะมาก แต่สื่อโทรทัศน์ น่าจะเป็นสื่อที่ควบคุมได้ เราควรควบคุม อย่าให้สื่อโทรทัศน์มีลักษณะคล้ายสื่ออินเตอร์เน็ทเลย เพราะมันมีทั้งสื่อสร้างสรรค์ และสื่อไม่สร้างสรรค์ ผู้ใช้จึงต้องใช้วิจารณญาณในการรับชม อย่าให้สื่อโทรทัศน์ต้องถึงกับขนาดนั้นเลย
by JH

วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2554

ต้นซ้อlขนมดอกซ้อ

ต้นซ้อ
ต้นซ้อ Gmelina arborea Roxb.  Lamiaceae (Labiatae)
ชื่ออื่น แก้มอ้น (ชุมพร,อุดรธานี); ช้องแมว (ชุมพร,ปราจีนบุรี, ราชบุรี,สุพรรณบุรี); เซาะแมว (นราธิวาส); แต้งขาว (เชียงใหม่); เป้านก (อุตรดิตถ์); เฝิง (เพชรบุรี,เหนือ); ม้าเหล็ก (กาญจนบุรี); เมา (สุราษฎร์ธานี); สันปลาช่อน (สุโขทัย)
ซ้อ หรือ GMELINA ARBOREA ROXB. อยู่ในวงศ์ VERBENACEAE 
ต้นซ้อยามออกดอก

ต้นซ้อ เป็นไม้ต้นขนาดกลาง สูงได้ประมาณ 20 ม. ใบเดี่ยวเรียงตรงข้ามสลับฉาก รูปไข่ ยาว 7-20 ซม. ปลายใบแหลมหรือแหลมยาว โคนใบรูปลิ่มกว้าง แผ่ออกคล้ายรูปหัวใจ ขอบใบเรียบ แผ่นใบด้านบนเกลี้ยง ด้านล่างมีนวลและมีขนสั้นนุ่ม เส้นแขนงใบ 3-5 คู่ ออกจากโคน 1 คู่ ก้านใบยาว 3-10 ซม เป็นร่องด้านบน
ดอกซ้อ
ดอกซ้อ ช่อดอกซ้อเป็นแบบช่อ กระจุกแยกแขนงสั้นๆ ออกตามปลายกิ่ง มี 1 หรือหลายช่อ ยาว 7-15 ซม. ใบประดับหลุดร่วงง่าย กลีบเลี้ยงและกลีบดอกมีจำนวนอย่างละ 5 กลีบ กลีบเลี้ยงรูประฆัง ยาว 0.3-0.4 ซม. ปลายกลีบรูปสามเหลี่ยมขนาดเล็ก ด้านนอกมีขน ติดทน กลีบดอกสมมาตรด้านข้าง รูปปากแตรโป่งด้านเดียว ยาว 2-4 ซม. ปลายแยกเป็น 5 กลีบ กลีบบน 2 กลีบ กลีบล่าง 3 กลีบ ไม่เท่ากัน ด้านนอกมีสีน้ำตาลแดง ด้านในหลอดกลีบสีครีมอ่อนๆ กลีบปากล่างกลีบกลางด้านในมีสีเหลืองแซม มีขนสั้นนุ่มด้านนอก ด้านในเกลี้ยง เกสรเพศผู้ สั้น 2 อัน ยาว 2 อัน ยื่นไม่พ้นปากหลอดกลีบดอก ก้านเกสรเพศผู้ติดบนหลอดกลีบดอกตรงประมาณกึ่งกลาง รังไข่เกลี้ยง มีต่อม ยอดเกสรเพศเมียมี 2 แฉกไม่เท่ากัน
ผลของซ้อ
ผลต้นซ้อ ผลแบบเมล็ดเดียวแข็ง สุกสีเหลือง รูปไข่หรือรูปไข่ ยาว 1.5-2 ซม. ซ้อหินมีเขตการกระจายพันธุ์กว้าง พบตั้งแต่อินเดีย ศรีลังกา เนปาล บังคลาเทศ ภูฎาน พม่า จีนตอนใต้ ภูมิภาคอินโดจีนและมาเลเซีย ในไทยพบกระจายทั่วทุกภาค ขึ้นตามป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง ป่าดิบเขา และป่าดิบชื้น ระดับความสูงจนถึงประมาณ 1500 เมตร

สรรพคุณของซ้อ  เปลือกของต้นซ้อสามารถแก้โรคผิวหนัง ผื่นคันตามร่างกายได้
ขนมดอกซ้อ
ขนมดอกซ้อ ดูวิธีทำได้จากคลิปดังต่อไปนี้ค่ะ


วันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2554

อกหักlคิดทางบวกชีวิตก็บวก


สนใจอะไรกับแค่คนคนหนึ่ง คนที่เราไม่ได้มีความหมายสำหรับเขาเลยแม้แต่น้อย คนที่ไม่เคยเห็นใจกันจริงๆ เป็นเพียงหน้ากากหลอกล่อ ว่าฉันเห็นใจซะเต็มประดา เป็นเพียงข้อความหนึ่งข้อความว่า เป็นยังไงบ้าง สบายดีใช่ไหม เป็นเพียงคำพูดแคคำว่า เลิกกันเถอะ เป็นเพียงการกระทำ เพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่า ฉันไม่ได้รักเธอแล้ว เข้าใจไหม แต่ฉันพูดไม่ได้ จึงพยายามสลัดเธอด้วยการให้เธอจากฉันไปเอง ฉันจะได้ไม่ต้องรู้สึกผิด ฉันจะได้ไม่ต้องขึ้นชื่อว่า เคยบอกเลิกใคร ไม่เคยบอกเลิกใครก่อน 555+ ภูมิใจนักใช่ไหมกับแค่คนคนหนึ่งที่ไม่เคยสนใจว่า อีกคนจะร้องไห้ จะเจ็บเจียนตายแค่ไหน หรือจะกินข้าวบ้างหรือยังตั้งแต่วันที่เกิดปัญหา ไม่ ไม่เคยสน ตอนนี้มีความสุขมากกับคนใหม่ จะเป็นอย่างไร เดี่ยวก็หายเองล่ะ อกหักไม่ถึงตายหลอก เดี่ยวก็ลืม เหอะๆ ยังรู้สึกอยากร้องไห้อีกไหม ร้องไห้ไปเพื่อใคร ถ้าไม่อยากร้องไห้ ลองมาคิดเรื่องอื่นดีกว่าไหม เช่น
ข้อดีของการเป็นโสดไปจนตาย

1.หาเงินมาก็ใช้ไป ไม่ต้องเก็บเพื่ออนาคตของใคร เพียงเก็บเพื่ออนาคตของเราคนเดียว ลองคิดดูนะ ถ้ามีลูก มีสามี มีภรรยา สิ่งที่ตามมาคือ จะเลี้ยงลูก เงินส่งเรียน ฯลฯ ยึดติดทำไม หาเรื่องลำบากใส่ตัวทำไม

2.ชีวิตอิสระ ลองคิดดูนะ เกิดมาก็แค่ ไม่กี่สิบปีก็ตาย จะรีบตายไปทำไม อยู่ให้หนักแผ่นดินไปก่อน เพราะบนแผ่นดินยังมีสิ่งสวยงามให้ทำอีกเยอะ ให้ได้เจออีกเยอะ ถ้าคิดว่าตายแล้ว จะพ้นทุกข์รู้หรอว่าตายแล้วจะไม่ต้องรู้สึกอะไรแบบนี้อีก คิดผิดหรือป่าว เกิดถ้าตายแล้วจะต้องรู้สึกเจ็บปวดแบบนี้ไปตลอดไม่มีวันหาย มันทรมานนะ สู้อยู่เป็นคน อีกเพียง 1 ปีคุณจะมีชีวิตได้อย่างคนปกติ หรือไม่อาจใช้เวลาน้อยกว่า

3.ทุกวันนี้ปรนเปรอตัวเองพอหรือยัง หรือ เอาไว้ปรนเปรอคนอื่น มีของที่อยากได้ครบหรือยัง มีเงินให้ฟุ่มเฟือยพอหรือยัง มีความสุขพอหรือยัง ถ้ายังหามันมาใส่ตัวสิ สนใจไร งานถ้ามันเหนื่อยมากนัก ลำบากมากนักนะ ก็ทำอย่างอื่นซิ เกิดมาแค่ครั้งเดียวทนเพื่อไร อืมถ้ามีครอบครัวก็คงต้องบอกว่าทนเพื่อครอบครัว แต่นี่เราโสด อกหักนะดีแล้ว จะได้ทำเพื่อตัวเอง

4.อยากไปไหนก็ไปซิ  ปีนี้จะทำงานที่เหนือ วันหยุดก็จะไปเที่ยวให้ทั่วเหนือเลย (อ้อ ไม่ต้องเลือกงานอยากทำไรทำไป ทำทุกอย่างยิ่งดี เราจะได้รู้ว่า เราชอบแบบไหน) พอถึงปีหน้าก็ไปอยู่ใต้ ทำงานใต้ซักปี ก็ย้ายไปเรื่อยๆ วนิพกพเนจร เฮ่อๆ!!! ชีวิตมีความสุขจะตาย ยึดติดทำไม

5.อยากกินก็กินเลย เก็บเงินเอาตังซื้อของอร่อยๆกิน และไปสมัครฟิตเนส ว่ายน้ำบ้าง โชว์หวิวบ้าง อิอิ
ดูแลตัวเองด้วย ของบำรุงทุกอย่าง จะฉีดผิวขาวด้วยก็ไม่ว่ากันหลอกนะ

ก็แค่สิ่งมีชีวิต

อีกไม่กี่สิบปีก็ตายห่า จะยึดติดไปทำไม เกิดมาก็ตัวคนเดียว ไม่ได้มีฝาแฝดตัวติดกัน
อย่าเอาบ่วงมาผูกคอ อย่าเอาโซ่มาล่ามขา อย่าเอาหมามานั่งเฝ้า ชีวิตมีอิสระ
เป็นแค่ละครฉากหนึ่ง ตายเมื่อไรก็อวสาน มันเป็นประการฉะนี้แล....


เวลาไม่ได้ผ่านไปช้า เวลาไม่ได้ผ่านไปเร็ว

ถ้าอยากตายเร็ว ก็จงมีความสุขมากๆ เพราะเมื่อมีความสุข เวลามักผ่านไปเร็วเสมอ


ถ้าอยากตายช้าๆ ก็จงมีความทุกข์ให้มาก เพราะเมื่อมีความทุกข์ เวลามักผ่านไปช้าเสมอ

วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2554

ดอกไม้กับผู้หญิง

ดอกไม้เปรียบผู้หญิง ภุมรินเปรียบดั่งชาย
ดอกไม้ เปรียบได้กับผู้หญิง ดอกไม้มีหลายชนิด หลายประเภท ก็เปรียบได้กับผู้หญิงที่มีหลากหลายชนิด หลายประเภท วันนี้จะมาเปรียบดอกไม้แต่ละชนิดกับผู้หญิงกัน
ดอกมะลิ ผู้หญิงที่ควรค่าแก่การบูชา การดูแลและเอาใจใส่ เปรียบได้กับมะลิมักอยู่บนหิ้งพระและมีกลิ่นหอม ผู้หญิงดอกมะลิ ผู้ชายมักรักและเคารพ อาจไม่ได้หมายถึงแม่เพียงอย่างเดียว แต่ยังหมายถึงคนรักที่ดี เป็นแม่ศรีเรือน เอาใจใส่ปฏิบัติดูแลลูกและคู่ครองอย่างดี และมีศีลธรรม ไม่คิดนอกใจและนอกกาย อาจยังหมายถึงผู้หญิงที่ดูสะอาดตา บริสุทธิ์ มีกลิ่นหอม แต่ไม่ได้มีสีสันที่สดุดตา สดุดใจ
ดอกกุหลาบ

วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2554

บ้านนอก ตอน ทำกับข้าว

ทำกับข้าวของคนบ้านนอก
วันนี้ไม่รู้จะเขียนเรื่องอะไรดี นั่งนึกไปนึกมาก็คิดถึงความเป็นบ้านนอกที่บ้านเกิด นึกถึงทีไรก็มีรอยยิ้มทุกที หลายคนที่ไม่เคยใช้ชีวิตวัยเด็กที่บ้านนอกจะไม่รู้เลยว่า มีเรื่องให้เราได้ตื่นเต้นมากแค่ไหน วันนี้ก็เลยจะมาเล่าเรื่องราวความเป็นบ้านนอกให้คนเมืองหลวงเขาอิจฉาเล่นๆ
เริ่มจากตอนเช้า เด็กบ้านนอกจะตื่นแต่เช้าเพื่อช่วยพ่อแม่ทำกับข้าว ใส่บาตร และเตรียมตัวไปโรงเรียน
คนบ้านนอก หรือ คนสมัยก่อน มักทำอะไรร่วมกัน คุยกันไปทำกันไป จึงทำให้เกิดความอบอุ่นในครอบครัว  ผิดกับคนเมืองหลวง อย่าว่าแต่ทำกับข้าวเลย กินข้าวก็ยังต่างคนต่างกิน ไปคนละทิศละทาง